12+8 เท่ากับเท่าไหร่ โจ้มีมะม่วงเท่าไรกันแน่!! ได้แต่สงสัยแต่ไม่กล้าถาม กลัวว่าถ้าถามไปจะโดนดุด่าว่าตี กลับมาว่าเป็นคนชอบเถียง หรือไม่มีความเคารพ หากเรายังคิดที่จะไม่กล้าถามอยู่แบบนี้ เราก็จะสงสัยไปตลอดโดยไม่ รู้ว่าคำตอบที่ถูกต้องจริงๆ จำแบบผิดๆไปเลย วันนี้เรามี 5 วิธีที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้คุณกล้าที่จะถาม โดยไม่ต้องอายใคร

เชื่อว่าตอนยังเป็นเด็กประถมหลายๆคน คงเคยเจอเหตุการณ์ในการทำการบ้าน แล้วไม่รู้คำตอบไม่รู้ว่าตัวเองทำถูกหรือผิด และมักที่จะไม่กล้าถาม เมื่อคุณครูบอกว่าไม่สงสัยให้ยกมือถาม แต่ก็มักจะไม่มีใครกล้ายกมือที่จะถาม ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างมาดูกันว่ามันเกิดจากอะไร ?

เมื่อตอนเรายังเด็ก เรามักโดนสอนและปลูกฝังมาเสมอว่าให้อ่อนน้อมถ่อมตน เคารพต่อผู้ใหญ่ และ ผู้อาวุโสอยู่ตลอด จนเราจำมาแบบนั้น โดยที่ความเคารพกลายเป็นความไม่กล้า เป็นความกลัวในที่สุด เพราะ ถ้าหากเรามีเรื่องที่สงสัยได้ถามออกไปแล้ว ผู้ใหญ่จะมองว่าเป็นการเถียง การเถียง คือ การที่เราไม่ยอมรับความจริงเกี่ยวกับตัวเองหรือเรื่องที่เกิดขึ้น แต่กับ การถกเถียงไม่ใช่อย่างนั้นมันคือการทำความเข้าใจ แลกเปลี่ยนความคิดกัน.. จนคนไทยติดความคิดแบบนี้จนโต มันจะเกิดอะไรขึ้น ?

หากเราปล่อยให้ความสงสัยเรื้อรังไปนานๆ จนไม่มีทางออกที่ถูกต้อง อาจส่งผลเสีย เช่น เรียนรู้อไรช้าลง, จำข้อมูลแบบผิดๆ, และสุดท้ายเกิดการบอกต่อความรู้ที่เข้าใจแบบผิดๆ ไปยังคนอื่น และ เขาก็จะจำแบบผิดๆส่งต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งจะเป็นผลเสียอย่างมากที่ทำให้เด็กจำสิ่งที่ผิดเป็นสิ่งที่ถูกสำหรับพวกเขา

ถ้าเรา “กล้า” ที่จะถามเมื่อเราสงสัย ไม่เข้าใจ เราจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง เช่น ได้ความรู้ใหม่ๆเพิ่มเติม , บรรยากาศในการเรียนในห้องดีขึ้น , เรียนรู้ได้รวดเร็วขึ้น และ ลื่นไหลมากขึ้น  การที่เรากล้าไม่เพียงแต่เป็นเรื่องที่ดี แถมยังได้เข้าใจในสิ่งที่เราสงสัย นำไปใช้ได้ในอนาคต

แต่การที่เราจะ “เริ่มถาม” ควรจะทำตอนไหน เมื่อไหร่ล่ะ การถามก็มีระยะเวลาของมัน แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ ?

อันดับแรก คือ การเปลี่ยนทัศนคติในการถามคำถามก่อน  โดยเริ่มจากตัวเองเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนมุมมองในการถาม

• การถามทำให้การเรียนรู้ได้ดีขึ้น เข้าใจสิ่งที่ไม่เข้าใจได้ชัดเจนขึ้น ไม่สร้างความเข้าใจจดจำแบบผิดๆ
• คนที่ถาม คือ ผู้กล้า กล้าในที่นี้หมายถึง กล้าที่จะเรียนรู้เมื่อเราไม่เข้าใจ สงสัย และอยากได้คำตอบที่แท้จริง
• การถาม “ไม่ใช่” การ “เถียง”  เราจดจำตั้งแต่เด็กให้เคารพผู้ใหญ่ เราจึงกลัวที่จะถามเพราะจะดูเป็นการเถียง แต่การเถียงคือการไม่ยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่ แต่เราถามเพื่อให้เราเข้าใจในเมื่อเราไม่รู้
• การถาม “ไม่ใช่” เรื่อง “น่าอาย”  อย่ากลัวที่จะถามถ้าเราไม่เข้าใจ มันทำให้เราได้ความรู้เพิ่มขึ้นด้วย

อันดับสอง  คือ การเตรียมคำถาม เช็คให้แน่ใจว่าในกระดาษโจทย์ที่เราได้รับไม่มีคำตอบบอกไว้ อ่านให้ถี่ถ้วนก่อนจะถาม ,เมื่อเราอยากถามให้เรียงลำดับคำถามให้ถูกต้อง อันไหนมาก่อนมาหลัง ลำดับความสำคัญให้ชัดเจน หรืออาจจดลงในกระดาษโน๊ตเพื่อกันลืมเรื่องที่จะถามก็ได้

อันดับสาม คือ การถามด้วยประโยคที่กระชับเข้าใจง่าย ถามคำถามโดยมีจุดมุ่งหมาย อยากรู้อะไร จุดไหน ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร โดยจะช่วยให้เราได้คำตอบที่ตรงกับคำถามที่เราสงสัยมากยิ่งขึ้น

อันดับสี่  คือ การรอจังหวะเพื่อที่จะถาม  การกล้าถามเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องดูด้วยว่าจังหวะที่เราจะถามมีคนอื่นกำลังถามอยู่ หรือ เปล่า ถามช่วงที่อาจารย์หยุดพัก ช่วงท้ายคาบเรียน ถ้าเราถามในขณะที่กำลังสอนอยู่ จะทำให้เราขาดการปะติดปะต่อในบทเรียนได้ดังนั้น ควรดูจังหวะในการถามให้ดี จะได้ไม่เป็นการเสียมารย

อันดับที่ห้า คือ การถามให้เสียงดังฟังชัด  ให้ยกมือถามเมื่อไม่เข้าใจ พูดให้ชัดถ้อยชัดคำ เพื่อให้คุณครู หรือ อาจารย์ผู้สอนได้ยินและ รู้ว่าเราถามเรื่องอะไร จะได้อธิบายให้หายข้อสงสัยได้ และ ไม่เป็นการเสียเวลามาถามหลายๆรอบอีกด้วย

การถามไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่มันเป็นการเสริมความรู้ ความเข้าใจให้กับตนเอง ไม่เสียตังค์สักบาทด้วย เพียงเท่านี้เราก็จะไม่จำอะไรผิดอีกต่อไป

—————————————–
Infographic Thailand รับผลิต Infographic / Motion graphic / Presentation / อบรม Infographic และ ผลิต Infographic ด้วยเทคนิคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น AR VR 360 กรอกรายละเอียดบอกเราได้ที่ http://bit.ly/questiontothai